Author Topic: ประชุมวิชาการ คำถามจากหมอคนหนึ่ง  (Read 11160 times)

0 Members and 1 Guest are viewing this topic.

ธวัช

  • Administrator
  • หัวหน้าบ๋อย
  • *****
  • Posts: 328
ทุกๆ ปีจะมีการประชุมวิชาการอายุรแพทย์ ซึ่งตลอดสามปีที่กลับมาเรียนต่อผมไม่เคยไป
ปีแรกมีข้ออ้างว่าอยู่ทำงานที่วอร์ด ปีสองก็มีข้ออ้างว่าอยู่เวร ปีสามว่างไม่มีเวรไม่มีภาระ แต่ก็ไม่ไปอยู่ดี
จริงๆ แล้วผมมีเหตุผลที่ไม่ไปครับ มันมาจากคำถามที่ผมยังตอบไม่ได้

คำถามแรกคือ จุดประสงค์ที่จัดประชุมที่พัทยาคืออะไร?
หากงานนี้จัดเพื่อส่งเสริมเรื่องความรู้ทางวิชาการกับอายุรแพทย์ทั่วประเทศ
ที่ๆ เหมาะที่สุดก็ควรจะเป็น กทม. ไม่ใช่หรือ ? เดินทางสะดวก มีที่พักมากมายให้เลือก
หมอที่มีบ้านในกทม.ก็เยอะแยะ ไปประชุมเช้ากลับมานอนบ้านก็ได้ 
หรือหมอที่ทำงานในกทม. จะเคลียร์งานให้เสร็จแล้วไปประชุมเป็นบางช่วงก็ทำได้ ไม่ต้องใช้เวลาทั้งวัน

หรือหากว่าเหตุผลที่เลือกพัทยา เพราะเพื่อเป็นโอกาสให้ได้พักผ่อนไปในโอกาสเดียวกัน 
ผมก็ไม่เห็นด้วยอย่างมาก ใครบอกว่าชีวิตของหมอไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ผมก็คงเถียงยิ่งเป็นอายุรแพทย์ด้วยแล้ว
มันอยู่ที่หมอคนนั้นจะ “เลือก” ใช้ชีวิตยังไงมากกว่า (อันนี้ขอยกเว้นอาจารย์ในโรงเรียนแพทย์นะครับ)
เวลาเที่ยวเวลาพักผ่อนมันก็มีตามสมควรอยู่แล้ว จะมาพ่วงเอาช่วงประชุมวิชาการอีกทำไม ?
โดยเฉพาะมันอาจจะทำให้เกิดคำถามที่สองตามมา

ธวัช

  • Administrator
  • หัวหน้าบ๋อย
  • *****
  • Posts: 328
คำถามข้อสอง ก็คือ ทำไมต้องมีสปอนเซอร์จากบริษัทยา ?

ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ได้ คงต้องมีข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่ายของการจัดงานประชุมก่อนว่า
มีค่าใช้จ่ายส่วนไหน  แต่ละส่วนแจกแจงไปว่าเป็นเท่าไหร่ ?

ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนก็คิดง่ายๆ เหมือนตอนเรากิจกรรมชมรมตอนเรียนอยู่นั่นแหละ
เงินของชมรมมีเท่าไหร่ จะจัดงานขึ้นมาแล้วมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ทำไงให้รายจ่ายน้อยที่สุดและบรรลุจุดประสงค์ของงานได้
ถ้าเงินไม่พอจ่าย ก็เก็บเพิ่มจากผู้มาร่วมงาน จะเก็บเท่าไหร่ที่สมเหตุสมผล
ถ้ายังไม่พออีกก็มีหลายทางเลือก เช่นกลับไปดูรายจ่ายอีกทีว่ามีจุดไหนจะลดได้บ้าง
เก็บเงินเพิ่มจากสมาชิกเพื่อให้ชมรมมีเงินไว้ใช้มากขึ้น หรือหาสปอนเซอร์มาช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย

สำหรับเรื่องสปอนเซอร์นั้นผมขอแยกเป็น สปอนเซอร์ค่าสมัคร (ไม่แน่ใจรวมค่าที่พักด้วยหรือเปล่า) กับสปอนเซอร์ค่าใช้จ่ายในการจัดงาน

ในส่วนสปอนเซอร์ค่าสมัคร ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากไหน และคิดไม่ออกด้วยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ?
ในเมื่อเป็นประชุมวิชาการ ซึ่งคนเข้าร่วมจะได้ประโยชน์ ก็ต้องจ่ายเงินมาร่วมงานสิตรงไปตรงมา
เหมือนกับการดูหนังก็คงไม่มีคนจ้างเราเข้าไปดูหนัง ถ้าเราคิดว่าหนังดีเราก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเอง

สำหรับผมแล้วจึงเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด ที่หมออย่างพวกเราต้องไปขอเงินคนอื่นเพื่อให้เราได้เข้าประชุม

พยายามคิดเหตุผลเอง หรือเป็นเพราะค่าสมัครสูงเกินไป เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้
หรือพิสูจน์มาแล้วจากการจัดหลายๆ ปี มีคนเข้าร่วมน้อยเนื่องจากต้องเสียเงินเอง
ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นวิธีแก้ก็ยังไม่ใช่การมีสปอนเซอร์ ควรจะแก้ที่การลดค่าใช้จ่ายให้น้อยกว่านี้
การจัดในกทม. ก็น่าจะช่วยได้เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพราะไหนจะจ่ายค่าสมัคร ต้องจ่ายค่าที่พัก ค่าเดินทางอีก

หรือเหตุที่ว่าเนื้อหาวิชาการไม่น่าสนใจเลยไม่มีคนยินดีจะจ่ายเงินเอง ? ถ้าเป็นงั้นก็ต้องแก้ที่เนื้อหาไป

ธวัช

  • Administrator
  • หัวหน้าบ๋อย
  • *****
  • Posts: 328
ในด้านหมอที่เข้าร่วมประชุมเอง หากคิดว่ามันเป็นประโยชน์ก็ควรจะจ่ายเอง
หรือหากว่าค่าใช้จ่ายมันเยอะ ก็มีทางอื่น หากเป็นข้าราชการ ก็มีงบที่เบิกได้สำหรับการประชุมอยู่แล้ว
หรือเอกชนก็น่าจะมีตรงส่วนนี้ช่วยอยู่แล้ว ก็ยังไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปขอสปอนเซอร์

ส่วนเรื่องของสปอนเซอร์การจัดงาน 
(นี่ในข้อแม้ว่า เราบริหารจัดการอย่างดีเรื่องเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว แต่ยังไม่มีเงินพอจะจัดงานนะครับ
ซึ่งผมคิดว่าหากเราบริหารจัดการได้ดีส่วนนี้มันไม่ควรจะมีหรือมีน้อยมากๆ)
ก็ไม่จำเป็นต้องว่าจะต้องเป็นบริษัทยา เพราะมันเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน
(คุ้นๆ นะครับคำนี้ หมอหลายคนคงเคยด่านักการเมืองไว้แบบนี้ อย่ากลับกลายเป็นว่าเราทำมันเอง)

ผมไม่มีนะครับ evidensebase ว่าบริษัทได้ประโยชน์จากการมาเป็นสปอนเซอร์
แต่มันก็มีคนพูดถึงมากมาย เมื่อหมอเป็นคนสั่งยา บริษัทยาก็ย่อมต้องเอาใจหมอเต็มที่
มันก็ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างหมอกับบริษัทยาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
 
และเชื่อไหมครับว่ามันเป็นนโยบายสำคัญของทุกบริษัทยาที่ต้องเข้าร่วม
แล้วขึ้นชื่อว่าบริษัท ประโยชน์สูงสุดคือกำไรของเขาครับ
กำไรก็ขึ้นกับยอดจำหน่าย สุดท้ายภาระค่ายาก็อยูที่คนไข้หรือเงินภาษีของประเทศเราเองนี่แหละ

หรือหากจะเถียงกันว่ามันมีผลหรือไม่มีผล ผมว่าแค่เพียงก้ำกึ่งเราก็เลี่ยงมันเถิดครับ

เรื่องสปอนเซอร์ ผมว่าบริษัทห้างร้านทั่วไปก็ยินดีที่จะสนับสนุนนะครับ
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพ เช่น พวกธนาคาร พวกบ้านจัดสรร บริษัทมือถือ คอมพิวเตอร์ 
อะไรพวกนี้ มันไม่ได้ส่งเสริมการขายโดยตรงหรอกครับ
แต่บริษัทใหญ่ๆ เขาก็มีงบเกี่ยวกับพวกนี้อยู่แล้วถือเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ ก็น่าจะดูดีกว่าการให้บริษัทยาเข้ามายุ่งนะครับ

อย่างไรก็ตามนี่เป็นมุมมองของหมอที่ยังไม่เคยไปร่วมประชุม
(เพราะมันตะขิดตะขวงใจที่มีบริษัทยาเข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย)
ไม่ได้คิดว่าใครผิดใครถูกแต่รู้สึกว่าไม่เหมาะสม (นี่ยังไม่รวมบางคนที่ให้บริษัทยาหารถไปส่งให้ด้วยอีกนะ)
ซึ่งก็อาจจะมีบางมุมที่ผมคิดไม่ถึง หากใครจะเพิ่มเติมชี้เจงก็ยินดีจะรับฟังนะครับ

อยากเสนอความเห็นไว้ตรงนี้จริงๆ แล้วไม่ได้คาดหวังความเปลี่ยนแปลง
แต่คาดหวังว่าอย่างน้อยจะได้รู้ว่า ยังมีคนที่คิดแบบนี้อยู่และคิดว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่คิดแบบนี้

ปีนี้ตอนแรกคิดว่าจะไปโดยจะจ่ายตังค์เอง แต่พอบอกใครไปสักคนจำไม่ได้แล้ว
เขาก็บอกว่าไม่ทันแล้ว เพราะสมัครแล้วต้องหาที่พักเองอีก ที่พักที่เตรียมไว้คงถูกบริษัทยาเขาจองไปหมดแล้ว
ด้วยความงงว่า ขนาดจะจ่ายเงินเอง ยังต้องลลำบากขนาดนั้นก็เลยไม่เอาดีกว่า
แต่เอาไว้ปีหน้าลองดูใหม่ก็แล้วกัน

Phils

  • เด็กเช็ดโต๊ะ
  • **
  • Posts: 60
  • Philosopher = wisdom lover
ยอมรับว่าไปโดยไม่ได้เสียเงินเอง .. มีคนลงทะเบียนให้ไปแข่งทัวนาเม้นท์(ซึ่งแพ้อย่างน่าเสียดาย)
และไปอาศัยนอนเบียดเพื่อนๆเอา (เบียดเบียน ไม่ใช่เบียดกาย ;)) นอนโรงแรมฟังเล็คเชอร์ 5วัน กับ นอนโรงบาลเดินทางไปฟังเล็คเชอร์ 5 วัน มันเหนื่อยไม่เท่ากันครับ

ผมคิดว่าเรื่องนี้โดนถกเถียงกันบ่อยมากแล้ว ความเห็นแต่ละคนก็ต่างกันไป บริษัทยาได้ประโยชน์มั้ยอาจจะมี ว่าแต่บริษัทอะไรขายplavix นะ จำไม่ได้ จำได้แต่อ.ชาญพูดถึงแต่ glitazone กับ gliptinบ่อ่ยมาก (ตลอด4วัน 4คืน) แล้วบริษัทอะไรแจก thumbdriveนะ...ก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าถ้าไม่ถึง 3000 ราชวิทยาลัยเค้าก็อนุญาติ (เล็คเชอร์อ.วิทยา)

ถ้าบริษัทยาไม่เสียเงินตรงนี้ เค้าจะลดค่ายาให้เราได้เท่าไหร่ หรือจะเอาไปดูแลหมอคนอื่นแทนดี

"เรื่องสปอนเซอร์ ผมว่าบริษัทห้างร้านทั่วไปก็ยินดีที่จะสนับสนุนนะครับ
ที่ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของสุขภาพ เช่น พวกธนาคาร พวกบ้านจัดสรร บริษัทมือถือ คอมพิวเตอร์
อะไรพวกนี้ มันไม่ได้ส่งเสริมการขายโดยตรงหรอกครับ
แต่บริษัทใหญ่ๆ เขาก็มีงบเกี่ยวกับพวกนี้อยู่แล้วถือเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ ก็น่าจะดูดีกว่าการให้บริษัทยาเข้ามายุ่งนะครับ"

ไม่รู้ถ้าเป็นบริษัทอื่นมาแจกมือถือจะทำให้สะดวกใจในการรับมากกว่าหรือไม่ (ส่วนตัวผมไม่ค่อยไม่รังเกียจครับว่าจะบริษัทไหน) คนที่เห็นAstra สนับสนุนเลยจ่า่ยcrestor เวลา Dell สนับสนุนก็ซื้อคอมเค้าเข้าโรงบาลได้ ก็ไม่เห็นต่าง

ทำใจให้เป็นกลาง แล้วเลือกฟังห้องที่น่าสนใจก็จะได้ความรู้ครับ อย่างมีเรื่องที่ไม่เคยฟังเช่น testosterone deficiency syndrome ..เค้ามีแจกกระเป๋าเดินทาง 555  ;D

ธวัช

  • Administrator
  • หัวหน้าบ๋อย
  • *****
  • Posts: 328
ขอบคุณ ที่มีคนเข้ามาแสดงความเห็นเพิ่มเติม

มีบางจุดที่แชร์ความเห็นเพิ่มเติม

1. Phils บอกว่าประเด็นนี้ถกเถียงกันบ่อยมากแล้ว
อันนี้ไม่เห็นด้วย เพราะที่ผ่านมา ผมกลับรู้สึกว่าเรื่องแบบนี้มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
ธรรมดาจนไม่เคยได้ยินใครพูดกันเลยต่างหาก
ธรรมดาจนนักศึกษาแพทย์ ก็เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ประโยชน์ต่างตอบแทน

เราเองก็คงจะได้ยินกันบ่อยๆ น้องพูดว่า ไปเพื่อไปเอาของฟรี ไปเพื่อพักผ่อน
และอื่นๆ อีกมากมาย

ค่านิยมเช่นนี้เวลาจบออกไป ไปอยู่รพ.เล็กๆ จะจัดงานอบรมขึ้นเอง
คิดว่า น้องคนนั้นจะทำยังไงครับ ---> ติดต่อบริษัทยา หาสปอนเซอร์
นานครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า เอายาใหม่เข้า เอาเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาอาจจะไม่สืบราคาให้ดีก่อน
เพราะความสนิทสนมคุ้นเคย

ทั้งๆ ที่เรื่องอย่างนี้เราสามารถดิ้นรน หาทางอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำโครงการ
เพื่อเบิกจ่ายจากงบประมาณต่างๆ หรือ ประสานกับหน่วยงานท้องถิ่นเช่น อบต.
หรือแม้กระทั่งเข้าหาวัด หาพระ เพื่อรบกวนช่วยสงเคราะห์

2. เรื่องของสปอนเซอร์ เป็น Dell แล้วสั่งคอมเข้า รพ. ก็คงไม่ต่างกัน
มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
เห็นด้วยก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนได้เช่นกัน แต่ทางแก้ก็อย่างที่บอกไป คือ เลือกสปอนเซอร์
ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องสิ ยังยืนยันว่ามีเยอะแยะ ถ้าเราพยายามจะหา

ไม่เห็นด้วยคือ แม้ว่าจะเห็นว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน
แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ได้มี effect ต่อคนไข้โดยตรง เหมือนกับยา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์

3. ทำใจให้เป็นกลาง เลือกฟังแล้วจะได้ความรู้ครับ
ก่อนอื่น เรื่องทำใจให้เป็นกลางนั้น สำหรับผมแล้วควรใช้สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนโดยตรง
เช่น กรณี รัฐบาล กับ เสื้อแดง ประชาชนอย่างเราควรจะทำใจให้เป็นกลางรับข้อมูลทั้งสองฝ่าย
แต่กรณีที่เราเป็นคนเกี่ยวข้องซะเอง เราต้องทำโดยตั้งอยู่ในความคิดที่ว่าจะทำยังไงให้ดีที่สุด
ทำไงให้ไม่มีข้อสงสัย ข้อบกพร่อง หรือให้มีน้อยที่สุด

จะเอาแค่ว่า ใจเราบริสุทธิ์ อย่างเดียวไม่พอ

กำลังคิดว่าจะยกตัวอย่างยังไงดี เอาเรื่องตัวเองก็แล้วกัน

อยู่รพช. มีหมออยู่กันสองคน แบ่งเวรกันคนละ 15 วัน หลังจากทำงานไปก็พบว่า
เวรที่ผอ. อยู่นั้น คนไข้เกิดปัญหามากมาย คนไข้ร้องเรียน ญาติไม่พอใจ เจ้าหน้าที่ทำงานด้วยความอึดอัด
ผมคิดแก้ปัญหาด้วยการลดจำนวนเวรของ ผอ.
เข้าไปคุยว่าเนื่องจากเห็นว่าผอ. อายุเยอะแล้ว แถมต้องไปเรียนปริญญาโทที่ต่างจังหวัดด้วย
ผมขออาสาอยู่เวรสามสัปดาห์ แล้วผอ. อยู่แค่สัปดาห์เดียวต่อเดือนก็พอ

ฟังดูใช้ได้ไหมครับ แต่หลังตัดสินใจแบบนั้นไปแล้ว ก็คิดได้ว่ามันยังมีอีกประเด็น
คือเรื่องเงิน ไม่รู้ว่าจะมีใครคิดว่าผมอยากได้เงินเยอะขึ้นหรือเปล่า

ก็เลยพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ให้เข้าใจ ผอ. เคยเสนอจะเพิ่มค่าเวรให้ จาก 450->900
ผมก็ปฏิเสธไปเพราะว่า work load มันน้อยคิดว่าไม่จำเป็น
และก่อนจะกลับมาเรียนต่อ ผมก็บริจาคเงินค่าเวรส่วนหนึ่งไว้ให้ รพ.
เพื่อเคลียร์ตัวเองในประเด็นเรื่องเงิน

ที่ยกตัวอย่างของตัวเองไม่ใช่ จะยกย่องตัวเองนะครับ แต่ว่าเป็นเรื่องที่รู้ดีพอจะยกตัวอย่างได้เท่านั้นเอง

อย่างที่บอกว่า เมื่อเราเป็นคนที่อยู่ในเหตุนั้น เราจะมองแบบเป็นกลางไม่ได้
แต่เราต้องคิดว่าเราจะทำยังไง ให้มันดีที่สุดต่างหาก

อีกข้อคือ ไม่ได้มองว่าการไปประชมไม่ได้ประโยชน์นะครับ
ผมคิดว่า การเข้าประชุมมีประโยชน์ทั้งนั้น ครับ และจริงๆ ผมก็อยากไปด้วย

azacillin

  • เด็กล้างจาน
  • *
  • Posts: 9
เราว่าในบรรดา เพื่อนแพทย์เนี่ย
รุ่นเราก็นับว่าเป็นรุ่น ไม่แคร์สื่อ ไม่ง้อดีเทลยา (สะกดถูกป่าว ) มากสุดแล้ว
มีคนไม่น้อยที่ไม่สนใจจะไป และมีคนส่วนใหญ่ที่ไปเพราะต้องไป present
ซึ่งอ.กัมมันต์ ได้เป็นคนอนุมัติค่าลงทะเบียนให้ รวมไปถึงจ่ายเงินจองห้องไว้ 3 ห้อง
เฉพาะวันที่มีการ present ให้ R ไปผลัดกันนอนวันละคน
แถมกำชับนักหนาว่าเสียเงินเกือบแสน ต้องไปให้ครบนะ
ซึ่งก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับบ.ยา
มีก็ส่วนน้อยที่ได้บ.ยา มาจองห้องให้

รุ่นเราเนี่ย ไปเที่ยว ไปกินกับบ.ยา น้อยสุดแร้ว

ตอนใช้ทุน ขอลามาอบรมอายุรศาสตร์ที่จุฬาฯ 5 วัน
ก็ขอลามาอย่างเดียว บ้านอยู่กรุงเทพฯ ที่เหลือจ่ายเอง

แกนี่ได้เงินเวรบ้านนอกน้อยเหมือนช้าน เรยยย ^_^